VNT : บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน)
หมวดธุรกิจ : ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์   www.vinythai.co.th

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
-----------------------------------------------------------------------
พฤหัสฯ 16 ส.ค.2555--VNT :
ที่มา : Results Analyser : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส

VNT            คำแนะนำ ซื้อ
ราคาปิด 18 บาท  ราคาพื้นฐาน 20 บาท
กำไรสุทธิ 2Q55 ออกมาดี
    * VNT ประกาศกำไรสุทธิ 2Q55 เท่ากับ 528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%QoQ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นเป็น 19.5% จาก 18.1% ใน 1Q55 แม้ว่ายอดขายจะอ่อนลง 2%QoQ และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 93%QoQ เป็น 30 ล้านบาทในไตรมาสนี้ก็ตาม นับได้ว่าบริษัทมีผลดำเนินงานโดดเด่นในกลุ่มปิโตรเคมี แต่เมื่อเทียบ YoY พบว่ากำไรสุทธิอ่อนลง 33% เพราะช่วงไตรมาส 2-3 ปี 54 บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าปกติ โดยอยู่ที่ 25.0% และ 26.7% ตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากราคา PVC ปรับขึ้นแรงจากการที่อุปทานตึงตัวหลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในญี่ปุ่น และจีนมีความต้องการใช้ PVC เพื่อการก่อสร้างจำนวนมาก
    * คาดผลประกอบการของ ECH เข้ามาช่วย ใน 2Q55 ยอดขาย PVC และ VCM ลดลง แต่มียอดขายของ ECH เข้ามาเสริมทำให้ยอดขายรวมลดลงเพียง 2%YoY เป็น 4.0 พันล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 2Q55 สามารถปรับขึ้นได้แม้ว่าราคา PVC และ VCM จะลดลงเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นของ ECH อยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าทั้งสองผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญ
    * แนวโน้มครึ่งหลังปี 55 ยังไปได้ดีและเติบโตสูงในปี 56 แม้ว่าราคาและ Spread ของปิโตรเคมีจะฟื้นตัวได้ไม่เร็ว แต่ความเสี่ยงขาลง (Downside) ก็ต่ำแล้ว และหากประเทศชั้นนำมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมก็จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาน้ำมันดิบและปิโตรเคมีให้ขยับขึ้นได้ นอกจากนั้น VNT ยังมีผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูงอย่าง ECH เข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการด้วย ทั้งนี้ผู้บริหารคาดว่าบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิต ECH ในช่วงเริ่มต้นประมาณ 50% และเพิ่มเป็น 70% ในสิ้นปี 55 ส่วนปี 56 จะใช้กำลังการผลิตเต็มที่ เท่ากับ 1 แสนตันต่อปี และประเมินว่าผลิตภัณฑ์ใหม่จะมีกำไรได้ตั้งแต่ปี 55 รวมทั้งจะเป็น Key growth ในปี 56 ทั้งนี้ความต้องการใช้ ECH ในตลาดโลกมีสูง โดยนำไปใช้ผสมเป็นสารเคลือบกันสนิม ใช้ในธุรกิจอิเลคทรอนิกส์, ยานยนต์, กังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า เป็นต้น โดย VNT จะขาย ECH ในประเทศ 10% และส่งออก 90% ไปยังตลาดจีนและเกาหลี
    * ฐานะการเงินยังแข็งแรง ณ สิ้นมี.ค.55 บริษัทมีหนี้สินสุทธิ 2.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 857 ล้านบาทเพราะมีการกู้ยืมเงินเข้ามาลงทุนในโครงการ ECH อีก 1.6 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net gearing) ยังต่ำเพียง 0.13 เท่า และมี BVS ณ สิ้นมิ.ย.55 เท่ากับ 13.62 บาท
    * ยังคงคำแนะนำซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 20 บาท อิงกับ P/E ปี 55 ที่ 12.3 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ทั้งนี้กำไรสุทธิ 1H55  คิดเป็น 54% ของคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 55 ที่เราประเมินไว้ ซึ่งประมาณการของเรามี Upside  ถ้า 1) การฟื้นตัวของ Spread PVC และ VCM ดีกว่าคาด และ 2) ECH ทำกำไรในปี 55 ได้ดีกว่าที่เราประเมินไว้ที่ 90 ล้านบาท  เราชอบ VNT เนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้ามา คือ ECH จะช่วยให้บริษัทมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์มากขึ้น และทำให้มีการเติบโตของกำไรสุทธิที่น่าประทับใจในปี 56 โดยคาดการณ์ไว้ที่ 23% นอกจากนั้นยังจ่ายปันผลในเกณฑ์ดี โดยคาดการณ์เงินปันผลสำหรับปี 55 ไว้ที่ 0.98 บาท (ให้ Payout ratio 60% เท่ากับปี 54) คิดเป็น Dividend Yield 5.4%
-----------------------------------------------------------------------
พุธ 5 ต.ค.2554--VNT :
ที่มา : Company Focus : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส

VNT     แนะนำ ซื้อ
ราคาปิด 11.30 บาท        ราคาพื้นฐาน 14.70 บาท (เดิม 23.30 บาท)
ยอดขายและ Spread ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกซบเซา
        o ราคา PVC ลงมาต่ำกว่าหนึ่งพันเหรียญต่อตัน  ราคา PVC (CFR S.E. Asia) ได้ปรับลดลงจาก 1,220-1,250 US$/ตันในเดือนมิ.ย.54 มาที่ประมาณ 950-970 US$/ตันในปลายเดือนก.ย.54 เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าอุปสงค์จะลดลงในช่วงเศรษฐกิจโลกซบเซามาก และในตลาดจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภค PVC รายใหญ่ของโลกก็มีแนวโน้มว่าการซื้อจะอ่อนลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หลังจากที่ทางการจีนมาตรการสกัดเงินเฟ้อหลายรอบ โดยเฉพาะมาตรการที่เกี่ยวข้องการภาคการเงิน (จำกัดการปล่อยสินเชื่อ) และภาคอสังหาริมทรัพย์ (ควบคุมราคาไม่ได้เป็นฟองสบู่) นอกจากนั้นยังมีปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวนที่ทำให้การก่อสร้างล่าช้าด้วย
        o Spread ของ PVC ร่วงลงแรง สำหรับราคา Ethylene (CFR N.E. Asia) ได้ปรับลดลงจากประมาณ 1,120-1,130 US$/ตันในเดือนมิ.ย.54 มาเป็น 1,080 US$/ตันในปลายเดือนก.ย.54 ยังผลให้ Spread ของ PVC ลดลงมายัง 400-450 US$/ตัน จาก 600-650 US$/ตันในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งส่วนนี้จะกดดันผลประกอบการของ VNT ตั้งแต่ปลาย 3Q54 เป็นต้นไป
        o ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54-55 ลง 6% และ 20% เป็น 1.75 พันล้านบาท และ 1.84 พันล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนถึงยอดขายและ Spread ของ PVC ที่มีแนวโน้มต่ำลงในช่วงเศรษฐกิจโลกซบเซา อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปี 55 จะยังเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเมื่อเทียบ YoY แม้ว่าสถานการณ์กลุ่มปิโตรเคมีจะอ่อนแอลงมากในช่วงเศรษฐกิจโลกย่ำแย่ ทั้งนี้เนื่องจากในปี 55 บริษัทจะมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามา คือ Epichlorohydrin (ECH) ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้มีมาร์จิ้นสูงกว่า PVC ประมาณ 20%
        o เกี่ยวกับ ECH เป็นผลิตภัณฑ์ใช้มากในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ เรือ ที่เป็นพวกสารเคลือบกันสนิม, อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์, วัสดุอุปกรณ์ในเครื่องบิน, สารเคลือบกระป๋องอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งทาง VNT อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิต ECH ที่มีกำลังการผลิต 1 แสนตันต่อปี ใช้เงินลงทุน 8 พันล้านบาท เป็นการกู้ยืม 4.5 พันล้านบาท ที่เหลือมาจากกระแสเงินสดภายใน บริษัทคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ต้นปี 55 โดยขายในประเทศ 20% ให้กับผู้ซื้อรายใหญ่ 1 รายซึ่งปัจจุบันนำเข้าจากต่างประเทศ  และอีก 80% ส่งออกไปยังจีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น 
        o ยังคงคำแนะนำซื้อ ทั้งนี้ราคาหุ้น VNT ได้ปรับลดลงมาแล้ว 44% จากระดับสูงสุดของปีนี้ และราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 54-55 ประมาณ 7 เท่ากว่า นับว่าอยู่ในโซนต่ำแล้ว ประกอบกับคาดการณ์ Dividend Yield ปี 54-55 จูงใจที่ 6% และ 7% ตามลำดับ ให้ Payout Ratio เท่ากับ 50% (ปี 53 เท่ากับ 55%) อย่างไรก็ตาม เราได้มีการปรับลดราคาพื้นฐานลงเป็น 14.70 บาท โดยอิงกับ P/E ปี 55 ที่ 9.5 เท่า (ค่าเฉลี่ยระดับปานกลางย้อนหลัง 5 ปี) ซึ่งลดลงจาก P/E เป้าหมายเดิมที่ 12 เท่า เนื่องจากแนวโน้มของธุรกิจปิโตรเคมีแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเศรษฐกิจซบเซา