TCAP : บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)
หมวดธุรกิจ : ธุรกิจการเงิน   www.thanachart.co.th

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
-----------------------------------------------------------------------
ศุกร์ 10 ส.ค.2555--TCAP :
ที่มา : Analyst Comment : บล.เกียรตินาคิน

TCAP สินเชื่อครึ่งปีหลังยังน่าจะเติบโตต่อ แต่ยังคงเป้าไว้ที่ 10%
มูลค่าเหมาะสม    35.00 บาท ราคาล่าสุด (9 ส.ค. 2555)    32.75 บาท
คำแนะนำ   ซื้อ
ประเด็นสำคัญ   
 
        * ผู้บริหารของ TCAP ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการเติบโต และการพลิกฟื้นของผลประกอบการของ TCAP ในช่วงครึ่งปีหลัง
ความเห็นนักวิเคราะห์   
        * ยังคงเป้าสินเชื่อไว้ที่ 10% ถึงแม้ว่าสินเชื่อในครึ่งปีแรก TCAP จะปล่อยได้แล้ว 5.7%YTD ผู้บริหาร TCAP มองว่าสินเชื่อในช่วง 2H55 จะยังเติบโตต่อได้ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ได้ประโยชน์จากการยืดเวลาการรับรถจากโครงการรถคันแรกออกไปเป็นปี 2556 ทำให้ยอดขายรถยนต์ที่ยังคงทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ TCAP ยังคงเป้าการปล่อยสินเชื่อไว้ที่ 10% เหมือนเดิม เนื่องจากคาดว่าจะมีสินเชื่อบางส่วนนั้นลดต่ำลง เนื่องจากความพยายามลดระดับ NPL ลงให้เหลือ 4.5% จากในขณะนี้ที่มี NPL อยู่ 5.1%
        * ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าการแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อและระดมเงินฝากยังรุนแรง แต่ TCAP มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เก่าและสินเชื่อรถแลกเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงและการแข่งขันกันระดมเงินฝากยังรุนแรงอยู่ แต่อัตราดอกเบี้ยที่ TCAP เสนอให้กับลูกค้ายังไม่สูงเท่ากับช่วงที่มีการแข่งขันสูงจากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐเนื่องจากไม่ต้องเสียเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
        * คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยไตรมาสที่ผ่านมา TCAP นั้นสามารถลด NPL ลงได้เหลือ 5.1% จากไตรมาสก่อนที่มี NPL อยู่ 5.7%
        * อัตราเงินปันผลตอบแทนของปันผลระหว่างกาลสูงที่สุด โดยเราคาดว่า TCAP นั้นจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.50 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 1.5% ธนาคารอื่นที่เราคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลคือ BAY คาดว่าจ่าย 0.40 บาท Div. yield 1.2%, BBL คาดว่าจ่าย 2.25 บาท Div. yield 1.1%, KBANK คาดว่าจ่าย 0.50 บาท Div. yield 0.3% และ SCB คาดว่าจ่าย 1 บาท Div. yield 0.3%
        * คงราคาเหมาะสม 35 บาท แนะนำ "ซื้อ" เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2555 ของ TCAP ไว้ที่ 5,766 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.33 บาท และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลจากผลประกอบการปี 2555 จำนวน 1.35 บาท คิดเป็น Div. yield 4.1% เรายังมองว่า TCAP นั้นน่าจะยังคงเติบโตได้จากยอดขายรถยนต์ที่ยังน่าจะเติบโตต่อ นอกจากนี้ TCAP ยังคงเป็นหุ้นที่มีราคาค่อนข้างถูก โดยซื้อขายกันที่ PE เพียง 8.3 เท่า และ P/BV 1.1 เท่า จากกลุ่มที่มี PE 14.4 เท่า และ P/BV 1.9 เท่า นอกจากนี้ราคาเหมาะสมของเราที่ 35 บาท ยังมี Upside gain อีก 7% เราจึงยังคงแนะนำ "ซื้อ"
-----------------------------------------------------------------------

ศุกร์ 10 ส.ค.2555--TCAP :
ที่มา : วิเคราะห์หุ้นรายวัน : บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง

บมจ. ทุนธนชาต (TCAP)      ซื้อ (Unchanged)
ราคาปิด (บาท)          :  32.75
ราคาเป้าหมาย ปี 56 (บาท):  41.00
ราคาหุ้นยังถูกเกินที่จะมองข้าม
         ประเด็นการลงทุน : จากการประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงมุมมองในเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของ TCAP ที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวโดดเด่นใน 2Q55 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า โดยเราคาดกำไรปี 55-56 เติบโต 21% และ 17% ตามลำดับ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงค่อนข้างถูก คงคำแนะนำ "ซื้อ" เป็นหุ้น top pick ของกลุ่ม ราคาเป้าหมาย 41.0 บาท
         ผลการดำเนินงาน 2Q55 ฟื้นตัวเด่น และคาด Momentum ดีต่อเนื่องใน 2H55 : กำไร 2Q55 ของ TCAP ที่ 1.7 พันล้านบาท เติบโตโดดเด่นถึง 43%qoq และ 8%yoy ถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทวิเคราะห์ฉบับวันที่ 20 ก.ค. 55) โดยเราคาดว่า Momentum ของผลการดำเนินงานของ TCAP จะยังคงดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีและแต่เนื่องไปจนถึงปีหน้า โดยในปีนี้เราคาดสินเชื่อเติบโต 12.5% (1H55 โต 5.7%) ตามการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นหลัก ขณะที่ NIM คาดค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วงที่เหลือของปี ด้านรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) คาดเติบโตดีจากรายได้ค่าธรรมเนียมและธุรกิจประกันชีวิต ขณะที่ค่าใช้จ่าย คาดว่านโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายจะเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยรวมเราคาดกำไรสุทธิปี 55 เติบโต 21% และคาดโตต่อเนื่องอีก 17% ในปีหน้า
         กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ : สำหรับ TCAP สินเชื่อรายย่อยยังคงเป็นเป้าหมายในการเติบโตหลักของธนาคาร โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยขึ้นเป็น 75% ในอนาคตจากปัจจุบันที่ 66% โดยเรามองว่าการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะยังคงเป็นหัวใจหลักที่จะผลักดันการเติบโตโดยเฉพาะในช่วง 1-2 ปีนี้ที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศเติบโตสูงจากการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์รวมทั้งมาตรการลดภาษีรถยนต์คันแรกของภาครัฐ นอกจากนี้ TCAP ยังมุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่อส่วนบุคคล, credit card และสินเชื่อรถแลกเงินมากขึ้น เป็นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง สำหรับด้านสินเชื่อภาคธุรกิจ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา TCAP สูญเสีย market share ไปพอสมควร เนื่องจากจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการควบรวมกิจการกับ SCIB ก่อน แต่หลังจากนี้ TCAP จะเริ่มกลับมาให้ความสนใจกับการเติบโตของสินเชื่อภาคธุรกิจทั้ง Corporate และ SMEs มากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเริ่ม Business Model ใหม่สำหรับสินเชื่อ SMEs ขนาดเล็ก (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 10 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายใน 3Q55 นี้ เราคาดว่าจะช่วยเพิ่มทั้งในส่วนของการขยายตัวของสินเชื่อโดยรวม รวมทั้ง NIM เนื่องจากสินเชื่อดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูงระดับ 10% ต่อปี
         อยู่ระหว่างการพิจารณาขายธุรกิจประกันชีวิต : ธนาคารธนชาตมีบริษัทประกันชีวิตในเครืออยู่ 2 บริษัท คือ ธนชาตประกันชีวิต-TLIFE (เน้นประกันชีวิตแบบคุ้มครองเงินกู้ Credit Life) และ ประกันชีวิตนครหลวงไทย-SCIBLIFE (เน้นประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพ Whole Life และประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ Endowment) ปัจจุบันผู้บริหารกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อขายธุรกิจประกันชีวิตออกไป หลังจากมีผู้สนใจเข้ามาติดต่อขอซื้อ โดยทางผู้บริหารกล่าวว่าจะพิจารณาขายก็ต่อเมื่อได้ราคาที่สูงพอเท่านั้น โดยเราประเมินว่าหาก TBANK ขายธุรกิจประกันชีวิตทั้ง 2 บริษัทออกไป อาจมีการบันทึกกำไรจากการขายในระดับสูงหลักหลายพันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนทางบัญชีของทั้งสองบริษัทค่อนข้างต่ำ (TLIFE มีต้นทุนที่ 936 ล้านบาท และ SCIBLIFE ที่ 761 ล้านบาท) โดย ณ สิ้น 1Q55 TLIFE มี asset อยู่ 2.28 หมื่นล้านบาท และ ROA ประมาณ 12.2% ส่วน SCIBLIFE มี assets 1.19 หมื่นล้านบาท และ ROA ประมาณ 7.8% อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าดีลดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ จนกว่า พรบ. การควบรวมกิจการและกฎหมายการถือครองธุรกิจประกันชีวิตของนักลงทุนต่างชาติจะแล้วเสร็จ
         ราคาหุ้นยังถูก : แม้ว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น TCAP จะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างโดดเด่น แต่หากมองตั้งแต่ต้นปีแล้ว ราคายังถือว่า underperform เมื่อเทียบกับกลุ่ม (+22%ytd เทียบกับ SETBANK ที่ +30%) ขณะที่ valuation ปัจจุบันถือว่าถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า Book value, PER ต่ำ 5.9 เท่า (ปี 56) ขณะที่ ROE สูงระดับ 15-16% และ dividend yield สูง 4-5% นอกจากนี้ตลาดเริ่มมีการปรับประมาณการกำไรของ TCAP ขึ้นหลังจากผลการดำเนินงาน 2Q55 ออกมาดีกว่าคาด แต่ประมาณการกำไรปี 55-56 ของเรายังคงสูงกว่า Consensus อยู่ 11% และ 14% ตามลำดับ ซึ่งเราคาดเห็นการปรับเพิ่มขึ้นของ Consensus อย่างต่อเนื่อง เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" TCAP เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม ราคาเป้าหมายปี 56 ที่ 41.0 บาท สำหรับคาดการณ์เงินปันผล 1H55 เราคาดที่ 0.50 บาท/หุ้น (คิดเป็น dividend yield 1.5%)
-----------------------------------------------------------------------

อังคาร 31 ก.ค.2555--TCAP :
ที่มา : DAILY STOCK : บล.เกียรตินาคิน

TCAP (THANACHART CAPITAL PCL).
Sector  :  Banking
คำแนะนำ                  ซื้อ
Fair Value'55 (Bt)       35.00
Closed Price (Bt)        31.25
Upside Gain              12.00%
Dividend Yield 55F       4.32%
     เรามองว่าการขยายเวลาส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาล จะทำให้กลุ่มเช่าซื้อได้รับประโยชน์จากยอดขายรถยนต์ที่จะยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเรามองว่า TCAP เป็นธนาคารที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มนี้จากการเป็นเจ้าตลาดสินเชื่อเช่าซื้อ มีราคาหุ้นที่ถูกที่สุดในกลุ่ม มีระดับเงินปันผลตอบแทนของเงินปันผลระหว่างกาลสูงที่สุด เราคงราคาเหมาะสม 35 บาท และยังคงแนะนำ "ซื้อ"
กลุ่มเช่าซื้อจะได้ประโยชน์จาก ครม. ขยายเวลาส่งมอบโครงการรถยนต์คันแรก
     เมื่อวานนี้ ที่ประชุมครม.อนุมัติการขยายเวลาโครงการส่งมอบรถยนต์และการยื่นเอกสารสำหรับโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกออกไป จากเดิมที่ผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องได้รับมอบรถยนต์ภายในปีนี้ โดยการขยายเวลาส่งมอบรถยนต์ออกไปนี้ ทำให้เราคาดว่ายอดขายรถยนต์น่าจะเติบโตดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2556 ซึ่งส่งผลดีโดยตรงต่อธนาคารที่มีสินเชื่อเช่าซื้อ ที่สินเชื่อที่เติบโตขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นส่วนหนึ่งเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งเติบโตตามยอดขายรถยนต์ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
TCAP มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 2/55
     ในกลุ่มธนาคารที่เราทำการศึกษาเรามองว่า BAY SCB TCAP และ TISCO ที่ทำสินเชื่อเช่าซื้อรถได้ประโยชน์จากการยืดเวลาโครงการดังกล่าวออกไป โดยในขณะนี้ TCAP มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อเช่าซื้อเป็นอันดับ 1 โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/55 มียอดสินเชื่อเช่าซื้ออยู่ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท และถึงแม้ว่า TCAP จะไม่ใช่ธนาคารในกลุ่มนี้ที่มีสินเชื่อเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2554 มากที่สุด โดยสินเชื่อเติบโต 6.4%YTD ในขณะที่ TISCO มีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 13.4%YTD SCB สินเชื่อเพิ่มขึ้น 9.6% YTD และ BAY สินเชื่อเติบโต 5.5% YTD แต่ TCAP กลับมีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยเพิ่มขึ้นเป็น 42.4% จากไตรมาส 1/55 ที่มีส่วนแบ่งตลาด 41.7%
TCAP เป็นหุ้นที่ถูกที่สุดในกลุ่ม และมีเงินปันผลระหว่างกาลสูง แนะนำ "ซื้อ"
     เรามองว่าธนาคารในกลุ่มเช่าซื้อ TCAP เป็นธนาคารที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากมีราคาถูก โดยซื้อขายกันที่ P/E 7.9 เท่า และ P/BV 1 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ P/E 13.9 เท่า และ P/BV 1.84 เท่า นอกจากนี้แล้วเรายังคาดว่า TCAP จะเป็นธนาคารที่มีระดับเงินปันผลตอบแทนจากเงินปันผลระหว่างกาลสูงที่สุดประมาณ 1.6% จากที่เราคาดว่าจะมีการจ่าย 0.50 บาท/หุ้น เรายังคงราคาเหมาะสมของ TCAP ไว้ที่ 35 บาท มี Upside gain 12% ยังคงแนะนำ "ซื้อ"
-----------------------------------------------------------------------

อังคาร 24 เม.ย.2555--TCAP :
ที่มา : Analyst Comment : บล.เกียรตินาคิน

TCAP   อาจมีการขายธุรกิจประกันออกไป แต่ไม่น่าขายออกไปทั้งหมด
ราคาเป้าหมาย 12 เดือน  35.00 บาท     ราคาล่าสุด (23 เม.ย. 2554)    30.50 บาท
คำแนะนำ       ซื้อ
     นักวิเคราะห์ : อดิสรณ์ มุ่งพาลชล  (โทร. 2937)
ประเด็นสำคัญ   
       * นสพ. ข่าวหุ้น รายงาน TCAP จะขายธุรกิจประกันทั้งหมด ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะทำให้ TCAP มีการบันทึกกำไรจากการขายสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท
ความเห็นนักวิเคราะห์    
       * มีความเป็นไปได้ที่จะมีการขายธุรกิจประกันออกไป แต่ไม่น่าขายทั้งหมด ก่อนหน้านี้ทางผู้บริหาร TCAP เคยให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์ฯว่ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาถึงแนวทางในการทำธุรกิจประกันที่ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด เนื่องจากมีบริษัทประกันบางแห่งที่ได้รับมาจากการเข้าซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) ซ้ำซ้อนกับบริษัทประกันที่ TCAP ถืออยู่เดิม โดยในขณะนี้ TCAP มีธุรกิจประกันอยู่ 4 บริษัทดังนี้
       - บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด             ถือหุ้น   100%
       - บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด           ถือหุ้น   100%
       - บริษัท ประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด  ถือหุ้น   100%
       - บริษัท สยามซัมซุงประกันชีวิต จำกัด     ถือหุ้น    25%
       เรามองว่า บริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด และบริษัท สยามซัมซุงประกันชีวิต จำกัด มีโอกาสที่จะถูกขายออกไปมากที่สุดเนื่องจากบริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด ซ้ำซ้อนกับบริษัทประกันที่ทาง TCAP มีอยู่เดิม ส่วนบริษัท สยามซัมซุงประกันชีวิต จำกัด TCAP ถือหุ้นอยู่เพียง 25% ทำให้ไม่ได้มีอำนาจบริหารเต็มที่
       * ยังไม่สามารถประเมินราคาขายได้ เรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นของบริษัทประกันที่ TCAP ถืออยู่ในขณะนี้จึงไม่สามารถประเมินมูลค่าขาย รวมถึงกำไรจากการขายได้ในขณะนี้
       * แนะนำ "ซื้อ" จากราคาหุ้นยังถูก Upside สูง เนื่องจากความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการขายธุรกิจประกันออกไป เราจึงยังไม่ให้น้ำหนักเกี่ยวกับประเด็นนี้ แต่เราให้น้ำหนักในแง่ของการดำเนินธุรกิจของ TCAP มากกกว่า โดยเราคาดว่า TCAP จะมีกำไรสุทธิปี 2555 จำนวน 5,766 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.33 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.3% นอกจากนี้หุ้นของ TCAP ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขายที่ PE 7.8 เท่า และ P/BV 1 เท่า ต่ำกว่าเมือเทียบกับกลุ่มธนาคารฯที่ซื้อขายที่ PE 13.8 เท่า และ P/BV 1.9 เท่า เราคงราคาเหมาะสม TCAP ไว้ที่ 35 บาท มี Upside gain อยู่ 15% แนะนำ "ซื้อ"
-----------------------------------------------------------------------
จันทร์ 23 เม.ย.2555--TCAP :
ที่มา : Trade Flash : บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป

ทุนธนชาต TCAP
กำไร 1Q55 อยู่ที่ 1.19 พันล้านบาท ใกล้เคียงคาด
ลักษณะธุรกิจ

     TCAP เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธนชาต ถือหุ้น 50.9% ในธนาคารธนชาต ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดในแง่สินทรัพย์อันดับที่ 5 หรือ 8.0% โครงสร้างสินเชื่อแบ่งเป็น Corporate/SME 37% และ Retail 63%
     * กำไรสุทธิใน 1Q55 ใกล้เคียงคาดโดยอยู่ที่ 1.19 พันล้านบาท เทียบกับประมาณการ 1.21 พันล้านบาท หากเทียบ q-q, y-y กำไรจะเติบโต 27.2% และ 4.3% ตามลำดับ
     * สินเชื่อเช่าซื้อขยายตัว 6.0% หาก Interest Spread ปรับลงสู่ 2.4% จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ Cost/Income ยังสูง หากรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยในส่วนของค่าธรรมเนียมและรายได้ประกันได้ประโยชน์จาก Business Synergy เพิ่มมากขึ้น
     * ทางฝ่ายคงมุมมองเห็นความพร้อมในการรุกธุรกิจมากขึ้นในปีนี้ โดยคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐานปี 2555 อยู่ที่ 39.30 บาท/หุ้น
ประเด็นข่าว ?
     กำไรสุทธิ 1Q55 มีจำนวน 1.19 พันล้านบาท ต่ำกว่าที่ทางฝ่ายคาดไว้เพียง 1.7% ขณะที่เทียบ Q-q, y-y กำไรแสดงการขยายตัวได้ 27.2% และ 4.3% ตามลำดับ
ความเห็น ?
     สินเชื่อสุทธิขยายตัว 1.7% ytd นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อที่โต 6.0% อย่างไรก็ตาม Interest Spread ลดลงสู่ 2.4% เทียบ 2.7% q-q, 3.0% y-y จากต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นมาที่ 3.3% (จากการแข่งขันด้านเงินฝาก และการตั้งค่าใช้จ่ายเงินนำส่ง DPA ที่เรียกเก็บเพิ่ม) ด้านรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยโตได้ดีทั้งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและธุรกิจประกัน ซึ่งเป็นผลจากความสามารถในการ Cross Sell ที่มีประสิทธิภาพขึ้น ขณะอัตรา Cost/Income ปรับลงจาก 66.6% q-q สู่ 64.2% ซึ่งยังนับว่าสูงเทียบกับการประมาณการของฝ่ายที่ 62.1% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายการตลาดและด้าน IT บันทึกเข้ามา ในส่วนของ Effective Tax Rate นั้นปรับลงมาที่ 25.2% เทียบ 35.1% q-q, 32.4% y-y
     ณ สิ้นมี.ค. 2555 NPL อยู่ที่ 413 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย q-q เล็กน้อยโดยลดลงจาก 5.9% ของสินเชื่อรวมมาที่ 5.7% ด้าน Coverage Ratio อยู่ที่ระดับ 65.9% ลดลงเล็กน้อยเช่นกันเทียบ q-qโดยในไตรมาสนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการตั้งสำรองลูกหนี้เช่าซื้อเป็นแบบ Collective Approach ซึ่งประเมินจากผลขาดทุนการประสบการณ์ในอดีต จากเดิมที่คิดเป็นร้อยละของลูกหนี้จัดชั้น
คำแนะนำการลงทุน ?
     ทางฝ่ายคงมุมมองเห็นความพร้อมในการรุกธุรกิจมากขึ้นในปีนี้ โดยประเมินราคาพื้นฐานปี 2555 อยู่ที่ 39.30 บาท/หุ้น อิงกับ P/B ที่ 1.23 เท่า ราคาหุ้นล่าสุดยังมี Upside เกิน 20% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"

-----------------------------------------------------------------------