AH : บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน)
หมวดธุรกิจ : ยานยนต์   www.aapico.com

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
พฤหัสฯ 16 ก.ย.2553--AH บมจ. อาปิโก ไฮเทค
ที่มา : บมจ. หลักทรัพย์ทรีนีตี้

          คำแนะนำ        BUY
          ราคาเป้าหมาย    20.0 (+43%)
          Median Consensus :    17.05 บาท
          Stock information
          ราคาปิด        14.00 บาท
          ราคาปิดสูง/ตำใน 1 ปี    15.50/6.80 บาท
          มูลค่าตลาด        3,171 ล้านบาท
          ปริมาณหุ้น (พาร์ 1)    226 ล้านหุ้น
          มูลค่าตามบัญชี/หุ้น (30/6/53)    16.29 บาท
          Free Float    48.76%
          Foreign Limit/Available    49.00%/6.86%
          NVDR in hand (% of shares)    2.70%
          ปริมาณหุ้นเฉลี่ย/วัน (‘000)    1,554.97
          ด้วยแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนในอีก 3-4 ปีข้างหน้า โดยมี Eco Car เป็น Driver สำคัญ ประกอบกับคาดการการฟื้นตัวยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นของ AH จาก Economy of Scale เราคาดการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของผลประกอบการของ AH คาดกำไรในปีนี้ที่ 392 ล้านบาทเทียบกับขาดทุน 109 ล้านบาทในปีก่อนและคาดปีหน้ากำไรเติบโต 38% ราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำ Book Value แนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมาย 20 บาท
          - หลากหลายธุรกิจยานยนต์: AH เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกอบด้วยบริษัทในเครือทั้งหมด 27 บริษัท มีธุรกิจที่หลากหลาย เช่น ออกแบบ ผลิต และติดตั้งอุปกรณ์ยึดจับ (Car Assembly Jigs), ออกแบบและผลิตแม่พิ่มพ์ (Stamping Dies), ผลิตชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ (OEM Auto Parts), เป็นตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายรถยนต์ โดยมี Partner ทางธุรกิจหลายราย เพื่อสนับสนุนในด้านการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ Technology อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฐานลูกค้าหลักล้วนเป็นผู้ประกอบรถยนต์รายใหญ่ในประเทศ เช่น ฟอร์ด, มาสด้า, นิสสัน, โตโยต้า, อีซูซุ, ฮอนด้าและ เจเนอรัล มอเตอร์ส นอกจากนี้ยังมีธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศจีน และธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศมาเลเซียอีกด้วย
          - อุตสาหกรรมยานยนต์ยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง: หลังจากได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา ปีนี้ถือเป็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนของธุรกิจยานยนต์ในประเทศ โดยเราคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ อาจพุ่งขึ้นสูงถึงระดับ 1.65 ล้านคัน เติบโต 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์ที่ประมาณ 1.0 ล้านคัน และสูงกว่าปี 51 ที่มียอดผลิตที่ 1.4 ล้านคัน ขณะที่เราคาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ในประเทศมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นถึง 2.0 ล้านคันได้ในปี 2555 โดยมี Eco Car เป็น Driver สำคัญสำหรับการเร่งตัวของยอดการผลิตรถยนต์ในช่วงต่อจากนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าจะทำให้ AH ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของยอดการ ผลิตรถยนต์
          - การฟื้นตัวของ Margin เป็นปัจจัยผลักดันผลการดำเนินงาน: ผลการดำเนินงานของ AH ฟื้นตัวค่อนข้างช้ากว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายอื่นๆ เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่งจะผ่านจุดคุ้มทุนจากการขยายกำลังการ ผลิตในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/53 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลการดำเนินของ AH จะฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) โดยเราคาดกำไรของ AH ในปีนี้ที่ระดับ 392 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 109 ล้านบาทในปีก่อนหน้า และคาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง 38% ในปีหน้าและ 22% ในปีถัดไป
          Recommendation & Valuation: เรามองว่าหุ้น AH ถือว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแต่ยังคงมองเห็น upside ในการปรับขึ้นของราคาจากนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ 6.9 เท่า PER ของปี 2554 และยังคงต่ำกว่า Book value ที่ 18.2 บาท  และให้ dividend yield ระดับ 4-5% เราเชื่อว่าด้วยศักยภาพในการเติบโตของบริษัท และแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 20 บาท อิง 10 เท่า PER ปี 2554
หลากหลายธุรกิจยานยนต์
          AH เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกอบด้วยบริษัทในเครือทั้งหมด 27 บริษัท โดยมี 22 บริษัทในประเทศและ 5 บริษัทในจีนและมาเลเซีย โดยมีธุรกิจที่หลากหลาย แบ่งออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
          1.ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ (OEM Auto Parts): ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท ซึ่งชิ้นส่วนรถยนต์สำคัญที่บริษัทฯผลิตได้แก่ ถังน้ำมันโลหะ (Steel Fuel Tank), ถังน้ำมันพลาสติก (Plastic Fuel Tank), ชิ้นส่วนเช็คระยะเปิด/ปิด ประตู (Door Check Link), ผลิตชิ้นส่วนโลหะตีอัดขึ้นรูป (Forging), โครงรถกระบะ (Chassis Flame), และ ตีกลึงอะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์ (Machining)
          โดย AH เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เพื่อป้อนโรงงานประกอบรถยนต์ (OEM) โดยลูกค้าเกือบทั้งหมดของบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบรถยนต์ในประเทศเพื่อส่งออกและขายในประเทศ โดยลูกค้าหลักในประเทศได้แก่ ผู้ผลิตรถยนต์ ฟอร์ด, มาสด้า, นิสสัน, โตโยต้า, อีซูซุ, ฮอนด้าและ เจเนอรัล มอเตอร์ส นอกจากนี้ AH ยังมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศจีน โดยทางผู้บริหารมองว่าธุรกิจยานยนต์ในประเทศจีนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดี อย่างต่อเนื่อง คาดยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากประมาณ 400 ล้านบาท เป็น 800 ล้านบาท ใน 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่ margin ของธุรกิจในจีนค่อนข้างสูง
          2.ธุรกิจออกแบบ ผลิต และติดตั้งอุปกรณ์จับยึดเพื่อใช้ในการประกอบรถยนต์ (Car Assembly Jigs): ซึ่งบริษัทจะรับออกแบบสินค้าให้กับลูกค้าเพื่อนำไปใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ และผลิตตามคำสั่งของลูกค้า (Make to Order) ซึ่งเมื่อลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงแบบรถหรือมีรูปแบบใหม่ จะต้องมีการออกแบบอุปกรณ์จับยึดใหม่อยู่เสมอ
          3.ธุรกิจออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ (Stamping Die): โดยบริษัทจะออกแบบแม่พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ตามรายละเอียดจากลูกค้า จากนั้นจะทำแบบหล่อด้วยโฟมเพื่อทำการหล่อขึ้นรูป (Casting) ชิ้นงาน แล้วจึงนำชิ้นงานหล่อขึ้นรูปไปกัดเหล็กแม่พิมพ์
          4.ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ (Dealer): โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ในประเทศให้กับรถยนต์ ฟอร์ด (มีโชว์รูม 3 แห่ง ที่ลาดพร้าว, รามอินทรา, สมุทรปราการ), มิตซูบิชิ (มีโชว์รูม 1 แห่งที่ปทุมธานี), ฮุนได  และยังเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้าในประเทศมาเลเซีย
          5.ธุรกิจระบบนำร่องการเดินทาง: โดย AH เป็นผู้ผลิตซอฟแวร์ระบบแผนที่นำทางภายใต้ชื่อ POWERMAP ซึ่งเป็นโปรแกรมเพื่อใช้ในการแนะนำเส้นทาง และนำทางให้ลูกค้าถึงจุดหมายด้วยระบบเสียงและแผนที่นำทาง
          มี Partner ทางธุรกิจที่ช่วยพัฒนาในด้านผลิตภัณฑ์และ Technology AH มีการการลงทุนร่วมกับ Partner ทางธุรกิจหลายราย เพื่อสนับสนุนในด้านการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และ Technology อย่างต่อเนื่อง
ลงทุนเพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง
          ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา AH มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ได้รับผลดีจากภาวะอุตสาหกรรมที่ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยในปัจจุบัน AH มีอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยรวมเฉลี่ยประมาณ 70-85% ซึ่งสูงกว่าจุดคุ้มทุน และนอกจากนี้บริษัทยังมีโรงงานใหม่อีก 2 โรง ที่จะทยอยเริ่มเดินเครื่องผลิตในช่วงครึ่งปีหลังปี 53 ซึ่งจะสามารถรองรับ Order ได้เต็มที่ประมาณ 4 พันล้านบาท/ปี
ขาขึ้นของอุตสาหกรรมยานยนต์
          หลังจากได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา ปีนี้ถือเป็นขาขึ้นที่ชัดเจนของธุรกิจยานยนต์ในประเทศ โดยยอดขายรถยนต์ทั้งภายในประเทศและส่งออกฟื้นตัวดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 52 และยังคงปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศดีดตัวสูงขึ้นตามไปอย่างต่อเนื่อง
          เราคาดว่ายอดผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ อาจพุ่งขึ้นสูงถึงระดับ 1.65 ล้านคัน เติบโต 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์ที่ประมาณ 1.0 ล้านคัน และสูงกว่าปี 51 ที่มียอดผลิตที่ 1.4 ล้านคัน ขณะที่เราคาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ในประเทศมีโอกาสพุ่งขึ้นสูงถึง 2.0 ล้านคันได้ในปี 2555 โดยมี Eco Car เป็น Driver สำคัญสำหรับการเร่งตัวของยอดการผลิตรถยนต์ในช่วงต่อจากนี้ ซึ่งเราเชื่อว่าจะทำให้ AH ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของยอดการ ผลิตรถยนต์
          Eco Car is the next driver
          ช่วงของการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างต่อเนื่องหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 มาจนถึงปี 2551 รถกระบะถือเป็น Driver ที่ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ แต่เราเชื่อว่าหลังจากนี้ไป Eco Car จะเป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการ ผลิตรถยนต์ภายในประเทศ โดยรถยนต์ Eco Car รุ่นแรกที่ผลิตออกสู่ตลาดคือ Nissan March ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์เจ้าอื่นๆ กำลังรอที่จะเปิดตัวรถ Eco Car อยู่ โดย Honda และ Toyota จะเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ขณะที่ Mitsubishi และ Suzuki คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2555
แนวโน้มผลการดำเนินงานฟื้นตัวต่อเนื่อง
          ผลการดำเนินงานของ AH ฟื้นตัวค่อนข้างช้ากว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายอื่นๆ เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่งจะผ่านจุดคุ้มทุนจากการขยายกำลังการ ผลิตในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผลการดำเนินงานเพิ่งเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 2/53 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลการดำเนินของ AH จะฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin)
โดยเราคาดการณ์การฟื้นตัวของยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ 55% ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าทำให้ยอดขายพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาท และคาดยอดขายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องอีก 15% ในปีหน้า จากภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศที่ยังคงดีอย่างต่อเนื่อง
          ผลการดำเนินงานของ AH ถูกกดให้ต่ำในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจาก Gross Margin ค่อนข้างต่ำเนื่องจากต้องมีส่วนลดให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่าง Isuzu ในขณะที่ในปี 2552 ที่ผ่านมายอดคำสั่งซื้อจากผู้ผลิตรถยนต์ลดลงอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของ AH ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน อย่างไรก็ตามด้วยภาวะอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวขึ้นมาในปัจจุบัน ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มสูงขึ้นจนผ่านจุดคุ้มทุน และต้นทุนจากการปรับปรุงโรงงานและขยายกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมา เริ่มหมดลงไป ทำให้ต่อจากนี้เราคาดว่าจะได้เห็นการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นของ AH อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อทำให้เกิด Economy of Scale เนื่องจากลักษณะธุรกิจของ AH เป็น High Operating Leverage (มีต้นทุนคงที่ในสัดส่วนสูง) ซึ่งการเพิ่มขึ้นของยอดขายจะทำให้กำไรปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
คาดกำไรโตต่อเนื่อง
          ผลประกอบการของ AH เริ่มฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในไตรมาส 2/53 ซึ่งเราคาดว่าจะได้เห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากนี้ไป โดยเราคาดกำไรในไตรมาส 3/53 ยังคงเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 130 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปีเราคาดกำไรของ AH ในปีนี้ที่ระดับ 392 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 109 ล้านบาทในปีก่อนหน้า และคาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง 38% ในปีหน้าเป็น 540 ล้านบาท และโตอีก 22% ในปีถัดไป
          สำหรับเงินปันผล AH ได้มีการประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับครึ่งปีแรกไปแล้ว 0.26 บาท/หุ้น ซึ่งเราคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการจ่ายเงินปันผลอีกอย่างน้อย 0.30 บาท/หุ้น รวมทั้งปี 0.56 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ระดับ 4.0% ส่วนปีหน้าคาดปันผลทั่งปีเพิ่มขึ้นเป็น 0.70 บาท/หุ้น
แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 20 บาท
          เรามองว่าหุ้น AH ถือว่าเป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันจะปรับตัวขึ้นมาพอสมควรแต่ยังคงมองเห็น upside ในการปรับขึ้นของราคาจากนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ 6.9 เท่า PER ของปี 2554 และยังคงต่ำกว่า Book value ที่ 18.2 บาท  และให้ dividend yield ระดับ 4-5% เราเชื่อว่าด้วยศักยภาพในการเติบโตของบริษัท และแนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 20 บาท อิง 10 เท่า PER ปี 2554
          ---โดย บมจ. หลักทรัพย์ทรีนีตี้